เกณฑ์ในการบ่งว่าโดดเด่น ของ สายพันธุ์ของ SARS-CoV-2

ไวรัสปกติมักจะกลายพันธุ์เมื่อเวลาผ่านไป เกิดเป็นรูปแปร (variant) หรือสายพันธุ์ใหม่ ๆ ซึ่งอาจขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากร และอาจเพิ่มปัญหาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้[13][64]

  • ติดต่อได้ง่ายขึ้น
  • ก่ออาการหนักขึ้น
  • เพิ่มอัตราการตาย
  • ชุดตรวจเชื้อตรวจไม่ได้
  • ไวต่อยาต้านไวรัสน้อยลง (ถ้ามียาเช่นนั้น)
  • ไวต่อแอนติบอดีที่ทำลายฤทธิ์ (neutralizing antibody) น้อยลงไม่ว่าจะเป็นแอนติบอดีที่พบในเลือด ที่ใช้ฉีด หรือที่ตรวจหาในการทดลอง
  • สามารถหลบภูมิต้านทานที่มีอยู่โดยธรรมชาติได้ (คือ ทำให้ติดเชื้ออีกได้)
  • สามารถทำให้คนฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้ออีกได้
  • เพิ่มความเสี่ยงภาวะโรคต่าง ๆ เช่น การอักเสบในระบบอวัยวะหลายบบ หรือผลระยะยาวของโควิด (long COVID)
  • เพิ่มการติดโรคในประชากรบางกลุ่ม เช่น เด็ก หรือผู้มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

สายพันธุ์ที่ผ่านเกณฑ์มากกว่าหนึ่งเหล่านี้อาจระบุว่า สายพันธุ์ที่กำลังตรวจสอบ (variants under investigation) หรือสายพันธุ์ที่น่าสนใจ (variants of interest) โดยยังต้องตรวจสอบว่าเพิ่มปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้หรือไม่ลักษณะหลักของสายพันธุ์ที่น่าสนใจก็คือมีหลักฐานว่ามันเป็นเหตุให้เกิดโรคในอัตราสูงขึ้นหรือเป็นเหตุของคลัสเตอร์โรคแต่ก็ยังจำกัดไม่ถึงกับแพร่ไปในระดับชาติ ไม่งั้นแล้วก็จะต้องยกระดับขึ้นเป็นสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง (variant of concern)[9][65]ถ้ามีหลักฐานชัดแล้วว่า การป้องกันหรือการรักษาสายพันธุ์นั้น ๆ มีประสิทธิภาพลดลงอย่างสำคัญ ก็จะจัดว่า สายพันธุ์ที่มีผลหนัก (variant of high consequence)[8]